โรงงานใหม่อยู่ที่สระบุรี บนพื้นที่ 170 ไร่ มีกำลังการผลิต 2.9 ล้าน ตร.ม.ต่อปี มีการใช้เทคโนโลยีน่าสนใจหลายอย่าง อาทิ The Green Cake Separating Technology ช่วยแยกก้อนอิฐก่อนเข้าอบ ทำให้ ลดการใช้พลังงาน มีการใช้ระบบ SCADA เพื่อแก้ไขขั้นตอนการทำงานที่เกิดปัญหาได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังได้วางแผนขยายสู่ตลาดเมืองรอง 55 จังหวัด รองรับผู้ประกอบอสังหาฯ ที่เตรียมเปิดโครงการ

นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจครบรอบ 40 ปี ในปีนี้ได้เริ่มการผลิตอิฐมวลเบาเชิงพาณิชย์ในโรงงานแห่งที่ 2 (โรงงาน AAC-2) ที่จังหวัดสระบุรี เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มศักยภาพและความยืดหยุ่นการผลิต รองรับการผลิตสินค้าหลากหลายรุ่น ทั้งสินค้ามาตรฐานและสเปกพิเศษ ทั้งชั้นคุณภาพ 2 (G2) และชั้นคุณภาพ 4 (G4)
สำหรับโรงงานแห่งใหม่นี้ใช้งบประมาณลงทุนกว่า 648 ล้านบาท มีพื้นที่ 170 ไร่ หรือประมาณ 273,592 ตารางเมตร มีกำลังการผลิตอิฐมวลเบาอยู่ที่ 2.9 ล้านตารางเมตรต่อปี และเมื่อรวมกับกำลังการผลิตอิฐมวลเบาที่โรงงานที่ 1 และโรงงานที่เชียงใหม่ 5.8 ล้านตารางเมตรต่อปี จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 ล้านตารางเมตรต่อปี
นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งแก่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่หลากหลายและครอบคลุมการก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องหลังคา, โครงหลังคาสำเร็จรูป, ผลิตภัณฑ์พื้น ผนัง และบันได SPC Solutions และอิฐมวลเบา พร้อมบริการติดตั้งและโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านนายสุนทร สุวรรณเจตต์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการผลิตและวิศวกรรม บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร กล่าวในส่วนของการผลิตว่า โรงงานดังกล่าวใช้เทคโนโลยีการผลิต The Green Cake Separating Technology โดยแยกอิฐมวลเบาก่อนเข้าสู่กระบวนการอบ ช่วยลดพลังงาน ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต จึงมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 4 - 5% เทียบกับเครื่องจักรรุ่นเดิม รวมถึงได้นำระบบ Automation, Robotics และ AI Driven มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

จุดหนึ่งที่อยากให้พิจารณาของโรงงานแห่งที่ 2 คือ Reduce Reuse Recycle ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการใช้วัตถุดิบ เช่น การบดทราย จะมีการนำเศษอิฐ หรือการนำน้ำจากการอบอิฐ กลับมาใช้ใหม่ หรือการทำแบบ Zero Waste คือ การลดของเสียในกระบวนการผลิต
นอกจากนี้ ใช้การควบคุมกระบวนการผลิตด้วยระบบ SCADA ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ อุปกรณ์และเครื่องจักร นำมาแสดงผลผ่านหน้าจอ เพื่อติดตามควบคุมและปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ถ้ากระบวนการผลิตตรงไหน มีการติดขัด เจ้าหน้าที่ที่ควบคุม สามารถแก้ไขผ่านหน้าจอได้ทันที เป็นการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประมวลผลแบบเรียลไทม์ได้ทันที
ในส่วนของน้ำมันทาแบบ ซึ่งในอดีตใช้วิธีการพ่นแบบสเปรย์ เกิดการฟุ้งกระจาย แต่ปัจจุบันปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ ทำให้ลดการสูญเสียไปได้ 35% และอีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือ ได้กำหนดเครื่องจักรกับบริษัทผู้ออกแบบให้ดีไซน์การใช้งานใหม่ เพราะแต่เดิมจะมีฐานอิฐสีออกดำที่ต้องทำการอบไปด้วย และเกิดของเสีย แต่ตอนนี้ได้แก้ไขในขั้นตอนพลิก และผลักตัวฐานอิฐให้กลับมาใช้ซ้ำ สามารถลดการสูญเปล่าไปได้ 5% ลดพลังงานในการอบ
พื้นที่ว่างตามภาพ ในชั้น 2 ของโรงงาน อนาคตจะใช้เป็นส่วนการผลิต wall panel
หรืออิฐที่มีความสูงรองรับตลาดคอนโดมิเนียม
อีกกระบวนการหนึ่งที่ขอกล่าวถึง ก็คือ การอบอิฐมวลเบาในอดีตที่ผ่านมา จะต้องเจ้าหน้าที่มาคอยแกะอิฐที่อบแล้ว แต่ตอนนี้จะใช้เครื่องแยกอิฐ (Green Separator Machine) ซึ่งตอนที่อิฐยังไม่ได้อบจะมีเครื่องจักรนำพาอิฐไป โดยถูกแยกจากกันทีละแถว ไม่ทำให้ก้อนอิฐติดกัน และเกิดช่องว่างของอิฐทำให้ไอน้ำหรือน้ำร้อนเข้าไปอบก้อนอิฐได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ถ้าไม่มีการแยกอิฐเวลาผลิต แล้วถ้าเกิดมีการผลิตอิฐมวลเบาประเภท G4 (อิฐคุณภาพสูง) จะใช้เวลาอบนานขึ้น แต่หลังจากปรับเปลี่ยนให้มีการแยกก้อนอิฐแล้ว ทำให้อิฐประเภท G4 ใช้เวลาในการอบเท่ากับอิฐประเภท G2 นั่นคือ การใช้พลังงานที่ลดลง
นอกจากนี้ โรงงานแห่งที่ 2 ยังมีระบบดักจับฝุ่น หมุนเวียนไอน้ำและไอร้อนกลับมาใช้ในระบบ และนำน้ำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิต สอดคล้องกับนโยบาย ESG ของบริษัทฯ

ขณะที่ดร.พิชญานันท์ ล้อวรลักษณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการขายและการตลาด บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร กล่าวถึงภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างและตกแต่งกว่า 6 เดือนแรกของปี 2568 ว่า ได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอุตสาหกรรมอิฐมวลเบาในประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลักหลายราย โดยมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 6,840 ล้านบาท (ประมาณ 360 ล้านก้อนต่อปี) ขณะที่แนวโน้มตลาดอิฐมวลเบาในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 2569 คาดว่าปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การก่อสร้างและดีมานด์จากโครงการภาครัฐและภาคเอกชน
ดังนั้นหลังจากที่บริษัทฯ เดินเครื่องจักรโรงงานอิฐมวลเบาสระบุรีแห่งที่ 2 แล้ว และวางแผนขยายตลาดเมืองรองใน 55 จังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายโครงการสู่ต่างจังหวัด และมีแผนทำตลาดครอบคลุมทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งงานโครงการภาครัฐและเอกชน ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุสมัยใหม่ โดยนำเสนอสินค้าสเปกพิเศษซึ่งการแข่งขันยังไม่รุนแรง และปลายปีนี้ บริษัทฯ เตรียมจะนำเสนออิฐมวลเบาตัวใหม่ขนาด 60*60 cm ออกสู่ตลาด เพื่อเป็นทางเลือกที่ช่วยลดการก่อเหลือเพียง 2-3 ก้อนต่อตารางเมตร จากเดิมที่ต้องก่อด้วยอิฐขนาดเดิมจำนวน 8.3 ก้อนต่อตารางเมตร
นอกจากนี้นายกฤช กุลเลิศประเสริฐ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบริหารกลาง บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงงานอิฐมวลเบาสระบุรีแห่งที่ 2 จะให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 12% ต่อปี และใช้ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 9 ปี โดยประเมินว่าปี 2569 จะมีอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 60 – 70% และทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2570 – 2571
“จะเห็นว่าที่ผ่านมาเราเติบโตมาโดยตลอด จากการทำการตลาดเชิงรุก ทำให้การตอบสนองในเรื่องคุณภาพสินค้าก็ดี ราคาสินค้าที่ตอบโจทย์ได้ และการนำไปใช้งาน ตลอดจนบริการหลังการขาย ซึ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเชื่อมั่น จนมาสู่การขยายโรงงานใหม่ในครั้งนี้” นายสาธิต กล่าวสรุป
15 กันยายน 2568