ผลักดันหัตถอุตสาหกรรมสู่เม็ดเงิน 100 ล้าน
กสอ. ร่วมกับภาคเอกชน จัดทำกิจกรรมพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่“Fashion Hero Brand สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย” โดยมุ่งเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการและนักออกแบบไทยในอุตสาหกรรมแฟชั่น ครอบคลุมสาขาผ้าพื้นเมือง
งานปัก เครื่องหนัง เซรามิค เพื่อแข่งขันได้ในระดับสากล ซึ่งจากข้อมูลปี 2564 อุตฯ
แฟชั่น ได้ส่งออกสินค้าเป็นมูลค่ามากถึง 2.0 แสนล้านบาท และจ้างงานราว 7.5 แสนคน 
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า
อุตสาหกรรมแฟชั่นถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ทั้งในด้านมูลค่าและการจ้างงาน โดยธุรกิจในอุตสาหกรรมสามารถสร้างรายได้ราว 3.9 แสนล้านบาท การส่งออกสินค้าแฟชั่น มีมูลค่ากว่า 2.0 แสนล้านบาท และการจ้างงานราว 7.5 แสนคนในปี 2564
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
จึงร่วมกับภาคเอกชนภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่น จัดทำ
“กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion
Hero Brand สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นจากทุนทางวัฒนธรรมไทยสู่สากล
(Fashion Identity) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและนักออกแบบในอุตสาหกรรมแฟชั่น
สาขาหัตถอุตสาหกรรมไทยให้มีองค์ความรู้
และทักษะที่จำเป็นในการสร้างภาพลักษณ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
เพื่อยกระดับสู่การเป็นแบรนด์ระดับสากล การเสริมสร้าง
ภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นที่มีรากฐานมาจากทุนทางวัฒนธรรมของไทยให้มีความเป็นสากล
ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแฟชั่นในปัจจุบัน
และขยายโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแฟชั่น
กิจกรรมดังกล่าว
มีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย
ครอบคลุมสาขางานผ้าพื้นเมือง งานปัก เครื่องหนัง เซรามิก เครื่องจักสาน และอื่นๆ
มุ่งเน้นการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย จำนวน 25 กิจการ
เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศ และระดับสากล พร้อมทั้งสร้างเรื่องราวแบรนด์
(Storytelling) และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ไทย
ผ่านการฝึกอบรมเชิงลึกทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์
การนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต การศึกษาดูงาน และการใช้กลยุทธ์การตลาด
การสื่อสารนำไปสู่การเพิ่มยอดขายสินค้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อยอดงาน
หัตถอุตสาหกรรมร่วมเป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย
สร้างให้โอกาสโตไกล และเชื่อมโยงสู่ตลาดโลก THAI Craft to
the WORLD อย่างยั่งยืน
“อุตสาหกรรมแฟชั่นยังมีความสำคัญในฐานะที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ
เช่น สิ่งทอ เครื่องหนัง อัญมณี และเครื่องประดับ ค้าปลีก บริการออกแบบ และโฆษณา
ซึ่งจุดแข็งที่สำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ได้แก่
ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งในด้านการควบคุมการผลิตสินค้า
และการบริหารจัดการในกระบวนการผลิต” นางสาวณัฏฐิญา กล่าว
นอกจากนี้ อธิบดี กสอ. ได้กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอัญมณีที่สำคัญ วัตถุดิบไทยมีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก ทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าแฟชั่นให้กับแบรนด์ระดับโลก อีกทั้งคนรุ่นใหม่ที่มีองค์ความรู้ด้านการออกแบบและสร้างแบรนด์มีความสนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นมากขึ้น อีกทั้งแฟชั่นไทยมีเอกลักษณ์และโดดเด่นไม่เหมือนใคร สามารถผสมผสานวัฒนธรรมและเสน่ห์ของความเป็นไทยเข้ากับเทรนด์แฟชั่นสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะผ้าไหมและผ้าฝ้ายของไทย ซึ่งเป็นผ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและคุณภาพ สามารถผสมผสาน ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ 
สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้จะได้ลงมือปฏิบัติจริงทั้งกิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก
โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทย จำนวนไม่น้อยกว่า 5 Man-day/กิจการ (ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 ชั่วโมง) อาทิ Exploration and
Local Craft Workshop สร้างแรงบันดาลใจ
สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง Hero Brands และ Local Artisans เรียนรู้เทคนิคในการออกแบบสินค้าสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทยด้วยทุนทางวัฒนธรรม
พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นยกระดับสินค้าสาขาหัตถอุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าในระดับสากล
กับช่างฝีมือท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงระดับประเทศในแต่ละภูมิภาคของไทย
และนับว่าเป็นโอกาสที่ดีและเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพแบรนด์คราฟต์
ให้ไปสู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน และคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท
ทั้งนี้
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการและเลขานุการร่วมภายใต้คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
และเป็น Focal Point ในสาขาแฟชั่น
ซึ่งต้องบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อน Soft Power สาขาดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับการที่ภาครัฐจะส่งเสริมการยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์
(Creative Culture) เพื่อผลักดัน Soft
Power ของประเทศ สนับสนุนและส่งเสริมการปรับใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน (Local Wisdom) ซึ่งเป็นศักยภาพของคนไทยและทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทย
ทั้งอาหารท้องถิ่นไทย ผ้าไทย มวยไทย ศิลปะการแสดงไทย ดนตรีไทย
ผสมผสานกับศิลปะร่วมสมัย และสุราชุมชน เพื่อยกระดับสินค้าทั้งด้านมาตรฐาน
และดีไซน์ให้ทันสมัย โดดเด่น แตกต่าง และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก วันที่ 30 มิถุนายน 2568
|