รมว.พลังงาน แจงนโยบายสำคัญที่จะทำ ส่งเสริมการใช้ E20 , B10 เช่นเดียวกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์สูงสุด และเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับสู่ปกติโดยเร็ว เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ รวมทั้งหามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการอย่างเหมาะสม หากยังได้รับความเดือดร้อนจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พลังงานร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ว่า การดำเนินนโยบายด้านพลังงานต่อจากนี้ จะเน้นนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างงานสร้างรายได้ รวมถึงวางรากฐานเพื่ออนาคตด้านพลังงานของประเทศ โดยจะเน้นการลงมือทำให้สำเร็จ (Execution) ซึ่งได้มอบให้ผู้บริหารทำแผนระยะ 5 ปี ที่กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อให้ติดตามได้อย่างใกล้ชิด
ดังนั้นโครงการที่ดำเนินมาแล้วจะยังคงเดินหน้าต่อไป ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก การส่งเสริมน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์ E20 หรือ B10 ก็ต้องช่วยให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ และมีมาตรการป้องปรามการลักลอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่จะใช้ในภาคพลังงานได้อย่างรัดกุม รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นกลไกขับเคลื่อนก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยเน้นหนักให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้กับประชาชน
“ราคาน้ำมัน E20 และ B10 จะต้องมีกำหนดรายละเอียดให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การประกาศเพื่อให้คนหันมาใช้ แต่ต้องให้กลุ่มเกษตรกรได้ประโยชน์และยกระดับรายได้จากตรงนี้ มีความแน่นอนในการซัพพลายของเอทานอลที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต E20 จะต้องลงไปดูว่าพื้นที่เพาะปลูกมีเพียงพอหรือไม่ ตรงนี้ทางกระทรวงพลังงานจะไปตรวจสอบเพื่อให้เกิดความมั่นใจ” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
สำหรับการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนจะยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างแน่นอน โดยผู้ได้รับประโยชน์ต้องเป็นเกษตรกรและได้เต็มเม็ดเต็มหน่อยไม่ใช่โรงไฟฟ้า เพราะโรงไฟฟ้าเป็นเพียงทางผ่าน เช่น ถ้าจะสร้างโรงไฟฟ้าจากพืชพลังงาน ก็ต้องไปพิจารณาดูว่า พืชตัวใหม่ต้องให้ค่าพลังงานที่ดีกว่าเดิม มีต้นทุนที่ต่ำกว่า ฯลฯ เพราะต้องการเห็นเกษตรกรดีขึ้นกว่าเดิม คาดว่าหลังจากไปทำการศึกษาแผนงานโรงไฟฟ้าชุมชนประมาณ 30 วัน จากนั้นจะประกาศให้ภาคเอกชนได้ทราบ แต่จะรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนได้ต้นปี 2564 หรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ความพร้อมของแต่ละโรงงาน ส่วนด้านโซลาร์ภาคประชาชนก็ได้ให้ทีมงานไปหาวิธีปรับราคาเพื่อสามารถสร้างรายได้
นอกจากนี้ อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่จะรีบดำเนินการคือ พื้นที่อ้างสิทธิระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา หรือ OCA (พื้นที่ทับซ้อน) โดยจะทำให้เรื่องนี้เกิดความชัดเจน เพื่อให้ได้ประโยชน์กับทั้งสองประเทศ แต่คงต้องใช้เวลาซักระยะ ทั้งนี้ สิ่งที่ภาครัฐรวมถึงกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการแล้วในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า และเป็นมาตรการช่วยในด้านรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะยังคงมีการดำเนินมาตรการลักษณะนี้ โดยปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป ขณะเดียวกันก็จะต้องดำเนินมาตรการการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยกลับคืนมาโดยเร็วและเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงโดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การลดค่าใช้จ่ายพลังงานในภาคประชาชนนั้น กระทรวงพลังงานจะไปพิจารณาให้เหมาะสมอีกครั้ง เพราะตอนนี้บรรยากาศการทำธุรกิจเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าการคลายล็อกดาวน์ได้ทยอยไปแล้ว ผู้ประกอบการยังได้รับความเดือดร้อนอยู่ ก็ต้องหามาตรการลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างเหมาะสม
“การระบาดของไวรัสโควิดยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระดับโลกและประเทศไทย ซึ่งรวมถึงภาคพลังงานด้วย วิกฤตครั้งนี้จะยังไม่หายไปได้ในเร็ววัน แต่อาจจะมีวันสิ้นสุดใน 12-15 เดือนข้างหน้า ขณะเดียวกันก็จะต้องดำเนินมาตรการการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยกลับคืนมาโดยเร็วและเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงโดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงต้องมีการร่วมกันวางแผนขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น กระทรวงพลังงานจึงได้จัดการประชุมเวิร์คช็อปขึ้นเพื่อรวมพลังในการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในสาขาพลังงาน ในการกำหนดทิศทางและวางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้พลิกฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง” รมว.พลังงาน กล่าวสรุป
ส.ค. 63
|